“ไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศ เพียงแค่มีผลงานมีคุณภาพตรงตามเป้าหมายก็พอ” Remote Working เป็นแนวคิดใหม่ที่พนักงานสามารถทำงานที่ไหนก็ได้ และเป็นแนวคิดที่บางบริษัททดลองทำจริงแล้วค่อนข้างเกิดผลลัพธ์ที่ดี อย่างทุกวันนี้ที่คนทำงานหลาย ๆ คน ต่างให้ความสำคัญกับไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันไป ทั้งชอบบรรยากาศสงบ ๆ ในการทำงาน ชอบที่ครื้นเครง แล้วจะไม่ดีเหรอถ้าเกิดเราสามารถกำหนดได้เอง เพื่อบรรยากาศที่เราสามารถทำงานได้อย่างถนัด และดึงศักยภาพของตัวเราเองออกมาได้อย่างดีที่สุด วันนี้จะมาเล่าข้อดีของแนวคิด Remote Working ต่อตัวองค์กรและพนักงาน ที่จะทำให้ภาพรวมผลงานและประสิทธิภาพดีขึ้นอย่างชัดเจนกัน
การทำงานแบบ Remote Working คือ
การทำงานแบบ Remote Working เกิดความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เพียงแค่กลุ่ม Startup แต่ยังมีองค์กรใหญ่ ที่กำลังค่อย ๆ แทรกการทำงานแบบ Remote เข้ามาใช้ เพราะการทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน จัดการ Work-Life Balance ให้ดี อาจเป็นแนวคิดที่ล้าหลังไปแล้ว ในเมื่อเรามีเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เข้ามารองรับการทำงานโดยไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศ ก็สามารถ Monitor และให้ Feedback ได้ทันที
หลายบริษัทที่ค่อย ๆ นำการทำงานแบบยืดหยุ่นเข้ามาใช้ เช่น Flexible Hour ที่อนุญาตให้พนักงานจัดการเวลาการเข้าทำงานของตัวเอง หรือ Flexible Office ที่ไม่มีโต๊ะประจำให้พนักงานสามารถนั่งทำงานได้ทุกที่ในออฟฟิศ
ข้อดีของการทำงาน Remote
สามารถทำงานได้ทุกที่ทุกเวลาไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟ ตาม Co-working Space ที่บ้าน หรือกระทั่งบนเตียงนอน และหากเบื่อกับการทำงานบนที่นอนก็สามารถย้ายไปมุมห้องนั่งเล่นหรือตามสถานที่ต่าง ๆ เบื่อเปลี่ยนบรรยากาศได้ สายงานที่ต้องการความคิดสร้างสรรค์ก็อาจจะได้ไอเดียจากสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ หรือขณะที่บางคนชอบทำงานตอนกลางคืนก็สามารถกำหนดช่วงเวลาทำงานได้ด้วยตัวเอง และไม่เพียงแต่ช่วยลดเวลาการทำงานเท่านั้น แต่ยังช่วยพัฒนาประสิทธิภาพการทำงาน และความคิดที่สร้างสรรค์มากขึ้นอีกด้วย
ชอบทำงานแบบ Remote เพราะไม่ต้องนั่งทำงานที่ออฟฟิศ?
การไม่ต้องนั่งทำงานในออฟฟิศ ไม่ได้เป็นเพียงปัจจัยเดียวของการเลือกหางานแบบ Remote แต่ยังรวมถึงการเดินทาง ระยะเวลา และสถานที่ด้วยที่เป็นปัจจัยในการเลือกงาน เพราะบางครั้งงานที่ใช่ก็อยู่ไกลเหลือเกิน เป็นเหตุผลที่ต้องเลือกงานรองลงมาและไม่ได้ทำสิ่งที่ตัวเองต้องการจริง ๆ จากผลสำรวจของ IWG ที่ได้สอบถามกลุ่มนักธุรกิจจำนวนกว่า 15,000 คน ใน 80 ประเทศทั่วโลก พบว่าร้อยละ 83 ของผู้ตอบแบบสำรวจมองว่า ‘การทำงานที่ยืดหยุ่น’ เป็นอีกปัจจัยสำคัญในการเลือกองค์กรเพื่อเข้าร่วมทำงานอีกด้วย
การนำมาปรับใช้ในองค์กร
ปัจจุบันหลายองค์กรใหญ่ ๆ ได้เริ่มมีการปรับเอาแนวคิด Flexible Working มาใช้กันแล้ว เช่น Google, Amazon, Automattic (WordPress) ไม่เพียงแต่อำนวยความสะดวกให้พนักงาน แต่ยังอำนวยความสะดวกให้ตัวองค์กรเองอีกด้วยเพราะเป็นการวัดพนักงานกันที่ตัวผลงานเท่านั้น ตัดปัญหายิบย่อยที่มักจะเกิดในที่ทำงานเช่น การนินทา มาสาย ลาป่วย ออกไป และตัวองค์กรเองก็จะได้พนักงานที่อยากทำงานหรือแน่วแน่ที่จะทำงานนี้ โดยไม่มีปัญหาเรื่องการเดินทางเป็นปัจจัยทำให้เสียโอกาสได้คนดี ๆ ไป บางองค์กรที่เป็นองค์กรใหญ่อาจเริ่มด้วยการทำงานแบบ Flexible เล็ก ๆ เช่น Flexible Hour เพื่อเป็นการเริ่มปรับตัวไปหา การทำงานแบบ Flexible ขั้นต่อ ๆ ไป
credit : jobthai